✅ บทความนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว
KEY POINTS:
Table of Content
ตกขาว (Vaginal Discharge) คืออะไร?
สาเหตุของการตกขาว
ตกขาวที่ปกติควรเป็นแบบนี้
ตกขาวแบบนี้ผิดปกติ และควรไปพบแพทย์
อาการตกขาวผิดปกติบอกอะไร?
การวินิจฉัยอาการตกขาวผิดปกติ
การรักษาอาการตกขาวผิดปกติ
ยารักษาอาการตกขาวผิดปกติ
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการตกขาวผิดปกติ
เคล็ดลับดูแลน้องสาวเพื่อป้องกันอาการผิดปกติ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการตกขาว
ตกขาว (Vaginal Discharge หรือ Leukorrhea) เป็นสารคัดหลั่งชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยต่อมที่อยู่บริเวณช่องคลอดและปากมดลูกในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง โดยร่างกายจะขับออกมาทางช่องคลอดเพื่อช่วยในการหล่อลื่น ป้องกันการระคายเคืองและการติดเชื้อ รวมถึงเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งถือเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใดหากไม่ได้กลายเป็นตกขาวที่มีสีผิดปกติ เช่น ตกขาวสีเหลืองเขียว ตกขาวสีน้ำตาล ฯลฯ
เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ระบบฮอร์โมนต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามรอบประจำเดือน ปัจจัยนี้เองจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของของเหลวที่สร้างโดยอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง ซึ่งก็คือตกขาว โดยในแต่ละช่วงของรอบเดือนก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ดังนี้
ระยะวลาดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณช่วงวันและลักษณะตกขาวในแต่ละช่วง ในแต่ละคนสามารถแตกต่างกันออกไปได้
สี ลักษณะ และปริมาณของตกขาวจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละราย แต่โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นของเหลวมีสีขาวใส สีขาวขุ่น เหลืองนวล หรือขาวเหลืองอ่อนๆ ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่คัน ไม่แสบ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ตกขาวที่หลั่งออกมาจากช่องคลอดช่วงกลางรอบเดือนจะมีลักษณะใสกว่าตกขาวในช่วงก่อนมีและหลังมีประจำเดือน
ตกขาวที่มีสีผิดไปจากปกติเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยสีต่างๆ สามารถบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้
มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อพยาธิ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างโรคหนองใน (Gonorrhoea) การสวนช่องคลอด การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในช่องคลอด นอกจากตกขาวจะมีเหลือง สีเขียวหรือสีเทาแล้ว นังมีกลิ่นเหม็น ทำให้รู้สึกคันช่องคลอด มีอาการแดง แสบ ปัสสาวะแล้วรู้สึกระคายเคือง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ตกขาวสีน้ำตาลหรือมีเลือดปนมักเป็นตกขาวที่พบหลังจากการมีรอบเดือน เกิดจากกระบวนการการลอกตัวของผนังมดลูกที่เกิดขึ้นช้าๆ และปะปนมากับตกขาวจนกลายเป็นตกขาวสีน้ำตาล โดยอาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อที่ปากมดลูก เนื้องอก หรือมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน สำหรับตกขาวที่มีสีอมชมพูอาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ในระยะแรก และหากเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นไปได้ว่ามีรอยแผลที่เกิดขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงจะมีกลิ่นตกขาวเฉพาะของตนเอง แต่หากสังเกตว่าตกขาวมีกลิ่นแปลกไปจากเดิมเช่น กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวปลา กลิ่นยีสต์ กลิ่นเปรี้ยว ฯลฯ ตกขาวลักษณะนี้มักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา พยาธิ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
ตกขาวที่มีลักษณะคล้ายก้อนแป้งหรือมีความข้นเหมือนคราบนมหรือแป้งเปียก ไม่มีกลิ่น ซึ่งในบางครั้งอาจมีอาการคันหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอดร่วมด้วยมักเกิดจากการติดเชื้อราในช่องคลอด
ตกขาวที่มีลักษณะเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มักมีอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อพยาธิ (Trichomonas Vaginalis) ในช่องคลอดหรือเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ปริมาณตกขาวจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละราย ดังนั้นหากสังเกตเห็นปริมาณตกขาวเยอะกว่าเดิม อาจมีสาเหตุ เช่น เกิดการตกไข่ ความต้องการทางเพศมากขึ้น มีความเครียดจนทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ เกิดอาการแพ้ที่บริเวณอวัยวะเพศหรือช่องคลอด การใช้ยาปฏิชีวนะ เกิดจากการคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือใช้ยาคุมกำเนิด เกิดการตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมบุตร ฯลฯ
อาการคันช่องคลอด คือ อาการระคายเคือง หรือคันบริเวณอวัยวะเพศหญิงด้านนอก หรือคันในช่องคลอด มักเกิดจากการติดเชื้อและมีตกขาวผิดปกติร่วมด้วย รวมถึงอาจรู้สึกแสบร้อนบริเวณดังกล่าวร่วมด้วย
มักเกิดเกิดโรคติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกคัน แสบ เจ็บ หรือมีตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศบวมแดง และในบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
อาการตกขาวที่ผิดแปลกไปจากปกติ เช่น มีตกขาวสีเหลือง ตกขาวสีน้ำตาล มีกลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวปลา หรือปริมาณที่ผิดปกติจนสังเกตได้ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศหญิงขาดสมดุล ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ การติดเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย มีพยาธิในช่องคลอด หรือสาเหตุอื่นๆ ซึ่งอาการตกขาวผิดปกติเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยจึงควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
เป็นการซักประวัติสุขภาพเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่อาจทำให้มีตกขาวผิดปกติ โดยแพทย์อาจสอบถามข้อมูลต่างๆ ของคนไข้ เช่น อายุ วิธีการดูแลสุขอนามัย โรคประจำตัว ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ประวัติการใช้ยารักษาโรคประจำตัวและยาคุมกำเนิด ลักษณะของตกขาวที่ผิดปกติ เช่น สี กลิ่น ปริมาณ รวมถึงอาการอื่นๆ ที่มีร่วมด้วย
เป็นการตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical Examination: PE) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคและประเมินความสมบูรณ์ของสุขภาพโดยรวม ซึ่งอาจพิจารณาร่วมกับการตรวจภายใน เช่น การตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ท่อปัสสาวะ และฝีเย็บ การใช้เครื่องมือถ่างขยายช่องคลอดหรือคีมปากเป็ด (Vaginal Speculum) เพื่อตรวจดูลักษณะภายในช่องคลอดและปากมดลูก
การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากการเก็บเซลล์เยื่อบุบริเวณมดลูกเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติในห้องปฏิบัติการ
เป็นการเก็บตัวอย่างตกขาวจากปากมดลูกด้านใน (Endocervix) หรือภายในช่องคลอดเพื่อนำมาตรวจหาเชื้อ โดยใช้เทคนิคการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีต่างๆ เช่น การตรวจสเมียร์แบบเปียก (Wet Smear) การทดสอบกลิ่นตกขาว (Whiff Test หรือ Amine Test) หรือการเพาะเชื้อ
เป็นการใช้กระดาษวัดค่า pH ภายในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติจะมีค่า pH ประมาณ 3.5-4.5 หรือหมายถึงสภาวะเป็นกรด แต่หากพบว่าค่า pH ต่ำกว่า 4.5 แสดงถึงภาวะการติดเชื้อรา (Physiologic Discharge) ส่วนหากมีค่า pH สูงกว่า 5.0 ขึ้นไปก็อาจบ่งชี้ถึงภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) หรือโรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) ได้
วิธีรักษาอาการตกขาวผิดปกติจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ของคนไข้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละราย เช่น
แต่สำหรับตกขาวผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะพิจารณารักษาทั้งผู้ป่วยและคู่นอนไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยพบว่าตนเองมีอาการตกขาวผิดปกติ ไม่ว่าจะมีลักษณะอย่างไรก็ตาม ควรรีบเข้าขอคำปรึกษาจากสูตินรีแพทย์โดยทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องต่อไป
ยารักษาอาการตกขาวผิดปกติแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยไม่ควรใช้ยารักษาตกขาวผิดปกติด้วยตนเอง ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและหาสาเหตุของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมและถูกวิธี เนื่องจากการซื้อยารักษาตกขาวผิดปกติเองอาจไม่ตรงกับสาเหตุที่เป็นอยู่และอาจทำให้อาการแย่ลงได้
การหมั่นรักษาและดูแลความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น ตั้งแต่การทำความสะอาด ซึ่งวิธีการทำความสะอาดที่ดีที่สุด คือ
หากมีอาการตกขาว ร่วมกับการขาดประจำเดือนหรือมีอาการคัดเต้านม อาจเป็นไปได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ เพราะเมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและสรีระ โดยตกขาวจะมีลักษณะเป็นเมือกขาว ไม่แสบ ไม่คัน สามารถซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจเองที่บ้านหรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน
อาจะเกิดจากเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือโรคอื่นๆ โดยจะต้องวินิจฉัยจากอาการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ลักษณะ สี กลิ่น หรือความผิดปกติอื่นๆ ของตกขาว
อาการคันช่องคลอดที่ไม่มีตกขาวอาจเกิดได้จากการระคายเคืองหรือแพ้สารเคมี เช่น น้ำยาหรือผงซักฟอกที่ใช้ทำความสะอาดชุดชั้นใน ใส่ชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินไป หรือเกิดจากความอับชื้นเมื่อเหงื่อออกมาก
ไม่ผิดปกติ ตกขาวที่มีลักษณะเป็นวุ้นใส เหนียว ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคันหรือแสบช่องคลอดถือเป็นตกขาวปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนถึงโรคหรือปัญหาสุขภาพใดๆ
ตกขาวสีเขียวอ่อนมักมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน หรือการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ช่องคลอด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคัน ปวดแสบขณะปัสสาวะ หรือพบกว่ามีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลาร่วมด้วย
✅ ตรวจสอบข้อมูลโดย
นพ. แสนภูมิพ่าย ขาวประเสริฐ (สูติ-นรีแพทย์)
คลินิกส่วนตัว
พ.บ. (เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ว.ว. สูติ-นรีเวชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปรึกษาคุณหมอผ่านแอป Raksa
แหล่งข้อมูล
✅ บทความนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว
KEY POINTS:
Table of Content
ตกขาว (Vaginal Discharge) คืออะไร?
สาเหตุของการตกขาว
ตกขาวที่ปกติควรเป็นแบบนี้
ตกขาวแบบนี้ผิดปกติ และควรไปพบแพทย์
อาการตกขาวผิดปกติบอกอะไร?
การวินิจฉัยอาการตกขาวผิดปกติ
การรักษาอาการตกขาวผิดปกติ
ยารักษาอาการตกขาวผิดปกติ
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการตกขาวผิดปกติ
เคล็ดลับดูแลน้องสาวเพื่อป้องกันอาการผิดปกติ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการตกขาว
ตกขาว (Vaginal Discharge หรือ Leukorrhea) เป็นสารคัดหลั่งชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยต่อมที่อยู่บริเวณช่องคลอดและปากมดลูกในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง โดยร่างกายจะขับออกมาทางช่องคลอดเพื่อช่วยในการหล่อลื่น ป้องกันการระคายเคืองและการติดเชื้อ รวมถึงเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งถือเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใดหากไม่ได้กลายเป็นตกขาวที่มีสีผิดปกติ เช่น ตกขาวสีเหลืองเขียว ตกขาวสีน้ำตาล ฯลฯ
เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ระบบฮอร์โมนต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามรอบประจำเดือน ปัจจัยนี้เองจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของของเหลวที่สร้างโดยอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง ซึ่งก็คือตกขาว โดยในแต่ละช่วงของรอบเดือนก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ดังนี้
ระยะวลาดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณช่วงวันและลักษณะตกขาวในแต่ละช่วง ในแต่ละคนสามารถแตกต่างกันออกไปได้
สี ลักษณะ และปริมาณของตกขาวจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละราย แต่โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นของเหลวมีสีขาวใส สีขาวขุ่น เหลืองนวล หรือขาวเหลืองอ่อนๆ ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่คัน ไม่แสบ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ตกขาวที่หลั่งออกมาจากช่องคลอดช่วงกลางรอบเดือนจะมีลักษณะใสกว่าตกขาวในช่วงก่อนมีและหลังมีประจำเดือน
ตกขาวที่มีสีผิดไปจากปกติเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยสีต่างๆ สามารถบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้
มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อพยาธิ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างโรคหนองใน (Gonorrhoea) การสวนช่องคลอด การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในช่องคลอด นอกจากตกขาวจะมีเหลือง สีเขียวหรือสีเทาแล้ว นังมีกลิ่นเหม็น ทำให้รู้สึกคันช่องคลอด มีอาการแดง แสบ ปัสสาวะแล้วรู้สึกระคายเคือง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ตกขาวสีน้ำตาลหรือมีเลือดปนมักเป็นตกขาวที่พบหลังจากการมีรอบเดือน เกิดจากกระบวนการการลอกตัวของผนังมดลูกที่เกิดขึ้นช้าๆ และปะปนมากับตกขาวจนกลายเป็นตกขาวสีน้ำตาล โดยอาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อที่ปากมดลูก เนื้องอก หรือมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน สำหรับตกขาวที่มีสีอมชมพูอาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ในระยะแรก และหากเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นไปได้ว่ามีรอยแผลที่เกิดขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงจะมีกลิ่นตกขาวเฉพาะของตนเอง แต่หากสังเกตว่าตกขาวมีกลิ่นแปลกไปจากเดิมเช่น กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวปลา กลิ่นยีสต์ กลิ่นเปรี้ยว ฯลฯ ตกขาวลักษณะนี้มักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา พยาธิ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
ตกขาวที่มีลักษณะคล้ายก้อนแป้งหรือมีความข้นเหมือนคราบนมหรือแป้งเปียก ไม่มีกลิ่น ซึ่งในบางครั้งอาจมีอาการคันหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอดร่วมด้วยมักเกิดจากการติดเชื้อราในช่องคลอด
ตกขาวที่มีลักษณะเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มักมีอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อพยาธิ (Trichomonas Vaginalis) ในช่องคลอดหรือเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ปริมาณตกขาวจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละราย ดังนั้นหากสังเกตเห็นปริมาณตกขาวเยอะกว่าเดิม อาจมีสาเหตุ เช่น เกิดการตกไข่ ความต้องการทางเพศมากขึ้น มีความเครียดจนทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ เกิดอาการแพ้ที่บริเวณอวัยวะเพศหรือช่องคลอด การใช้ยาปฏิชีวนะ เกิดจากการคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือใช้ยาคุมกำเนิด เกิดการตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมบุตร ฯลฯ
อาการคันช่องคลอด คือ อาการระคายเคือง หรือคันบริเวณอวัยวะเพศหญิงด้านนอก หรือคันในช่องคลอด มักเกิดจากการติดเชื้อและมีตกขาวผิดปกติร่วมด้วย รวมถึงอาจรู้สึกแสบร้อนบริเวณดังกล่าวร่วมด้วย
มักเกิดเกิดโรคติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกคัน แสบ เจ็บ หรือมีตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศบวมแดง และในบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
อาการตกขาวที่ผิดแปลกไปจากปกติ เช่น มีตกขาวสีเหลือง ตกขาวสีน้ำตาล มีกลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวปลา หรือปริมาณที่ผิดปกติจนสังเกตได้ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศหญิงขาดสมดุล ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ การติดเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย มีพยาธิในช่องคลอด หรือสาเหตุอื่นๆ ซึ่งอาการตกขาวผิดปกติเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยจึงควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
เป็นการซักประวัติสุขภาพเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่อาจทำให้มีตกขาวผิดปกติ โดยแพทย์อาจสอบถามข้อมูลต่างๆ ของคนไข้ เช่น อายุ วิธีการดูแลสุขอนามัย โรคประจำตัว ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ประวัติการใช้ยารักษาโรคประจำตัวและยาคุมกำเนิด ลักษณะของตกขาวที่ผิดปกติ เช่น สี กลิ่น ปริมาณ รวมถึงอาการอื่นๆ ที่มีร่วมด้วย
เป็นการตรวจร่างกายโดยแพทย์ (Physical Examination: PE) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคและประเมินความสมบูรณ์ของสุขภาพโดยรวม ซึ่งอาจพิจารณาร่วมกับการตรวจภายใน เช่น การตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ท่อปัสสาวะ และฝีเย็บ การใช้เครื่องมือถ่างขยายช่องคลอดหรือคีมปากเป็ด (Vaginal Speculum) เพื่อตรวจดูลักษณะภายในช่องคลอดและปากมดลูก
การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากการเก็บเซลล์เยื่อบุบริเวณมดลูกเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติในห้องปฏิบัติการ
เป็นการเก็บตัวอย่างตกขาวจากปากมดลูกด้านใน (Endocervix) หรือภายในช่องคลอดเพื่อนำมาตรวจหาเชื้อ โดยใช้เทคนิคการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีต่างๆ เช่น การตรวจสเมียร์แบบเปียก (Wet Smear) การทดสอบกลิ่นตกขาว (Whiff Test หรือ Amine Test) หรือการเพาะเชื้อ
เป็นการใช้กระดาษวัดค่า pH ภายในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติจะมีค่า pH ประมาณ 3.5-4.5 หรือหมายถึงสภาวะเป็นกรด แต่หากพบว่าค่า pH ต่ำกว่า 4.5 แสดงถึงภาวะการติดเชื้อรา (Physiologic Discharge) ส่วนหากมีค่า pH สูงกว่า 5.0 ขึ้นไปก็อาจบ่งชี้ถึงภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) หรือโรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) ได้
วิธีรักษาอาการตกขาวผิดปกติจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ของคนไข้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละราย เช่น
แต่สำหรับตกขาวผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะพิจารณารักษาทั้งผู้ป่วยและคู่นอนไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยพบว่าตนเองมีอาการตกขาวผิดปกติ ไม่ว่าจะมีลักษณะอย่างไรก็ตาม ควรรีบเข้าขอคำปรึกษาจากสูตินรีแพทย์โดยทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องต่อไป
ยารักษาอาการตกขาวผิดปกติแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยไม่ควรใช้ยารักษาตกขาวผิดปกติด้วยตนเอง ควรรีบพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและหาสาเหตุของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมและถูกวิธี เนื่องจากการซื้อยารักษาตกขาวผิดปกติเองอาจไม่ตรงกับสาเหตุที่เป็นอยู่และอาจทำให้อาการแย่ลงได้
การหมั่นรักษาและดูแลความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้น ตั้งแต่การทำความสะอาด ซึ่งวิธีการทำความสะอาดที่ดีที่สุด คือ
หากมีอาการตกขาว ร่วมกับการขาดประจำเดือนหรือมีอาการคัดเต้านม อาจเป็นไปได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ เพราะเมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและสรีระ โดยตกขาวจะมีลักษณะเป็นเมือกขาว ไม่แสบ ไม่คัน สามารถซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจเองที่บ้านหรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน
อาจะเกิดจากเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือโรคอื่นๆ โดยจะต้องวินิจฉัยจากอาการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ลักษณะ สี กลิ่น หรือความผิดปกติอื่นๆ ของตกขาว
อาการคันช่องคลอดที่ไม่มีตกขาวอาจเกิดได้จากการระคายเคืองหรือแพ้สารเคมี เช่น น้ำยาหรือผงซักฟอกที่ใช้ทำความสะอาดชุดชั้นใน ใส่ชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินไป หรือเกิดจากความอับชื้นเมื่อเหงื่อออกมาก
ไม่ผิดปกติ ตกขาวที่มีลักษณะเป็นวุ้นใส เหนียว ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคันหรือแสบช่องคลอดถือเป็นตกขาวปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนถึงโรคหรือปัญหาสุขภาพใดๆ
ตกขาวสีเขียวอ่อนมักมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน หรือการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ช่องคลอด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคัน ปวดแสบขณะปัสสาวะ หรือพบกว่ามีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลาร่วมด้วย
✅ ตรวจสอบข้อมูลโดย
นพ. แสนภูมิพ่าย ขาวประเสริฐ (สูติ-นรีแพทย์)
คลินิกส่วนตัว
พ.บ. (เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ว.ว. สูติ-นรีเวชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปรึกษาคุณหมอผ่านแอป Raksa
แหล่งข้อมูล